สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ฝันร้ายร้านค้าปลีก อี-คอมเมิร์ซ โตก้าวกระโดด

จากประชาชาติธุรกิจ

การก้าวเข้ามามีบทบาทระดับโลกของยักษ์ค้าปลีกออนไลน์หลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็นอะเมซอน หรือ อาลีบาบา ส่งผลให้แวดวงธุรกิจค้าปลีก อี-คอมเมิร์ซ เติบโตขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา และไม่มีท่าทีจะผ่อนคันเร่งลง

อุตสาหกรรมอี-คอมเมิร์ซ ถูกคาดการณ์อย่างยิ่งว่าจะปฏิวัติวงการค้าปลีกในอนาคต ร้านค้าปลีกอาจจะหมดไป กลายเป็นการค้าขายบนโลกดิจิทัลแทน เห็นได้ชัดจากฝันร้ายของร้านค้าปลีกแบบที่มีหน้าร้านกำลังทยอยเกิดขึ้นเรื่อย ๆ อย่างในสหรัฐอเมริกา เมื่อปีก่อนห้างสรรพสินค้า "เมซีส์" (Macy"s) ได้ทยอยปิดตัวไปแล้ว 41 แห่ง และเตรียมปิดเพิ่มอีกว่า 100 แห่ง สวนทางกับกำลังซื้อบนโลกออนไลน์ ซึ่งได้รับการอุดหนุนโดยกลุ่มมิลเลนเนียลส์ ที่นิยมการสั่งซื้อสินค้าที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว และคนกลุ่มนี้เริ่มก้าวเข้าสู่วัยทำงาน ฐานรายได้ขยับสูงขึ้น และจะกลายเป็นกำลังบริโภคหลักในอนาคตสำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีก

ผลวิจัยจาก "บิสซิเนส อินไซเดอร์ อินเทลิเจนท์" เผยผลการคาดการณ์การบริโภคของชาวอเมริกันในอนาคตว่า ในปี 2563 จะมีการบริโภคในโลกออนไลน์เป็นเม็ดเงินมหาศาลถึง 632,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยขยับขึ้นจาก 385,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่คาดการณ์ไว้สำหรับปี 2559 ถือเป็นการเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า โดยปัจจุบัน ตลาดอี-คอมเมิร์ซอเมริกาใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก



ทั้งนี้ ในปี 2558-2559 ที่ผ่านมา ผู้ซื้อออนไลน์ชาวอเมริกันมีจำนวนเพิ่มขึ้น 20 ล้านคน รวมเป็น 224 ล้านคนทั่วประเทศ และเมื่อเทียบระหว่างไตรมาสแรกของปี 2558 กับปี 2559 ตัวเลขการบริโภคได้ขยับจาก 61,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 68,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ปี 2559 การทำธุรกรรมการเงินออนไลน์มีมูลค่ามากถึง 115 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้านแชมป์โลกการค้าปลีกบนโลกออนไลน์อย่าง "จีน" นั้น งานวิจัยจาก "เวิลด์เปย์" คาดว่าในปี 2563 อี-คอมเมิร์ซจีนจะขยายตัวเพิ่มอีก 15% คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1.42 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะยังคงรักษาอันดับหนึ่งค้าปลีกโลกออนไลน์ได้เหมือนเดิม จากที่ระบบจ่ายเงิน "อี-วอลเล็ต" ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในปี 2559 และมีส่วนแบ่งการตลาดจากระบบจ่ายเงินถึง 56% ตามมาด้วยเดบิตการ์ดและเครดิตการ์ด ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเท่ากันที่ 11% ขณะที่เงินสดคิดเป็น 8% และการโอนเงินผ่านธนาคารมีเพียงแค่ 7%

อีกตลาดค้าปลีกออนไลน์ที่น่าสนใจคือตลาดอินเดีย ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าอาจจะขยายตัวใหญ่ขึ้นเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซ อันดับ 2 ของโลกแทนสหรัฐได้ในปี 2577

อย่างไรก็ตาม สมรภูมิการค้าปลีกออนไลน์คงดุเดือดมากยิ่งขึ้นในอนาคต จากการเติบโตทั้งจากตัวร้านค้าและผู้บริโภค ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ค้าที่จะต้องรับมือกับการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น ที่สำคัญคือการทำความเข้าใจต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ขยับขยายมาซื้อขายออนไลน์เพิ่มขึ้นไม่หยุด

ผลการศึกษาของ "PwC" โดยการสำรวจข้อมูลผู้บริโภคกว่าสองหมื่นคนทั่วโลกพบว่า 54% ซื้อของออนไลน์ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน และ 34% ยอมรับว่าโทรศัพท์มือถือกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารสำหรับใช้ในการบริโภคที่สำคัญ ขณะที่ 67% บอกว่าการศึกษารีวิวบนอินเทอร์เน็ตส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภค

และเมื่อศึกษาย่อยในรายประเทศพบว่า ชาวอเมริกัน 40% จะซื้อสินค้าตามที่ได้อ่านหรือดูจากรีวิวผู้ใช้งาน 29% จะเปรียบเทียบราคาผ่านโทรศัพท์มือถือ 36% จะซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศถ้าได้ราคาที่ดีกว่า และ 35% มองว่าสินค้าท้องถิ่นจะดึงดูดใจมากขึ้นเมื่อวางอยู่ในร้านค้าปลีกท้องถิ่น

ด้านชาวจีน 63% จะซื้อสินค้าตามที่ได้อ่านหรือดูจากรีวิวผู้ใช้งาน 38% จะเปรียบเทียบราคาผ่านโทรศัพท์มือถือ 51% จะซื้อออนไลน์จากต่างประเทศถ้าได้ในราคาที่ดีกว่า และ 32% มองว่าสินค้าท้องถิ่นจะดึงดูดใจมากขึ้นเช่นเดียวกัน เมื่อวางอยู่ในร้านค้าปลีกท้องถิ่น

ทั้งนี้ ชาวอเมริกันจะซื้อผ่านระบบมือถือเพียง 22% เท่านั้น เมื่อเทียบกับการบริโภคของชาวจีนซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือที่ 65% ซึ่งนักวิเคราะห์หลายรายมองว่า โทรศัพท์มือถือจะกลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับการซื้อขาย หรือการทำธุรกรรมทางการเงินในโลกอนาคต เนื่องจากสมาร์ทโฟนเป็นสิ่งที่กระจายตัวอย่างรวดเร็ว และกลายเป็น "สิ่งจำเป็น" ในการดำรงชีวิตของผู้คนทั่วไป


อี.โอ.เอส เกียร์,ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,#อุปกรณ์แค้มปิง,#อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต,#มีดดามัสกัส,#เหล็กดามัสกัส

Tags : ฝันร้ายร้านค้าปลีก อี-คอมเมิร์ซ โตก้าวกระโดด

view