สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ผลไม้ (ไทย).... หายไปไหน ?

จากประชาชาติธุรกิจ

ในช่วงนี้เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัวแล้ว เมื่อเราเดินทางไปไหน ๆ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด แม้แต่ภูเขาหัวโล้นในพื้นที่ต้นน้ำลำธารที่ถูกบุกรุกยึดครอง ก็จะเห็นความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า มาคอยปล่อยออกซิเจนให้เราสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอด

นั่นก็ทำให้ภาพความแห้งแล้ง เขื่อนแห้งขอด ดินแตกระแหง มลายไปในความทรงจำ รอปีwหน้าค่อยมาว่ากันใหม่

จากนี้ไปอีกราว 4 เดือน (สิงหาคม-พฤศจิกายน) ชาวบ้านอย่างเรา ๆ ก็จะต้องเตรียมรับมือกับฟ้าฝน มรสุม ฝนตกหนัก น้ำท่วม ดินถล่มกันอีก โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่ต้องยอมรับสภาพปัญหา "น้ำรอระบาย" ในทุกครั้งที่ฝนกระหน่ำลงมา พ่วงด้วยปัญหาการจราจรติดขัดอย่างหนัก

สิ่งนี้ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี ทั้งปัญหา "น้ำท่วม-น้ำแล้ง" เราควรวางแผนบริหารจัดการน้ำกันอย่างจริงจังต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตร อุตสาหกรรม ภาคท่องเที่ยว และคนเมือง ล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเป็นผู้ใช้น้ำทั้งสิ้น

อีกเรื่องที่อยากจะตั้งข้อสังเกต ก็คือ ผลไม้ไทยหายไปไหน...? เพราะชาวบ้านร้านตลาดต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผลไม้แพงจัง...?



สถานการณ์ตอนนี้ ราคาผลไม้พุ่งปรี๊ดแทบทุกชนิด แม้ว่าจะอยู่ในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดก็ตาม เช่น ย้อนไปในฤดูผลไม้ภาคตะวันออก ราคาทุเรียนหน้าสวนอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาทขึ้นไป มังคุดราคา 70-100 บาท/กก. เงาะ 40-60 บาท/กก.

ในฝั่งตระกูลกล้วย ซึ่งเป็นผลไม้ใกล้ตัวคู่ครัวไทย ก็มีราคาสูงลิ่วกว่าทุกปีที่ผ่านมามาก วันนี้กล้วยหอมทองที่วางขายในร้านสะดวกซื้อ ราคาตกลูกละ 8-10 กว่าบาท หรือหวีละ 100 กว่าบาท

ส่วน "กล้วยน้ำว้า" ซึ่งเป็นผลไม้ราคาถูก ปลูกที่ไหนก็ขึ้น แบ่งให้นก หนู กระรอกได้กินอิ่มไปด้วย ราคาพุ่งขึ้นจาก 25 บาท ทะยานขึ้นไปสูงสูดถึงหวีละ 50-70 บาทขึ้นอยู่กับขนาดว่าหวีใหญ่หรือหวีเล็ก หากวางขายในห้าง ราคาก็จะสูงกว่าขายในตลาดสดเท่าตัวทีเดียว

ตอนนี้กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเกษตรกรที่แปรรูปเป็นกล้วยตาก กล้วยเคลือบช็อกโกแลตก็ประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบอย่างหนัก แม้แต่แม่ค้าขายกล้วยทอดก็บอกตรงกันว่าไม่กล้าซื้อกล้วยน้ำว้าหวีละ 70 บาทมาทำกล้วยทอดขาย เพราะไม่สามารถปรับขึ้นราคากล้วยทอดได้ ตอนนี้ก็ปรับตัวหันมาขายมันทอด เผือกทอดไปพลาง ๆ ก่อน

ขณะที่ไม้ผลที่ฮอตฮิตสำหรับคนรักสุขภาพ "มะพร้าวน้ำหอม" ก็ขาดตลาดอย่างหนัก เพิ่งจะเริ่มคลี่คลายในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ จากราคาลูกละ 35-40 บาท ลดลงมาอยู่ที่ 25-30 บาท

ส่วน "มะพร้าวกะทิ" ก็เกิดศึกแย่งวัตถุดิบกันระหว่างผู้ผลิตกะทิ คนทำกับข้าว ขนมหวาน น้ำมันมะพร้าว และผู้ผลิตเครื่องสำอางจากมะพร้าว

เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน ราคาเคยพุ่งขึ้นไปถึงลูกละ 25-30 บาท เมื่อวันก่อนเพื่อน ๆ ในออฟฟิศไปซื้อกะท้อนโลละ 180 บาท เกิดอาการเงิบอย่างหนัก ซึ่งแต่เดิมเป็นผลไม้ที่ไม่ค่อยจะมีราคาเท่าไหร่ ส่วน "ฝรั่ง" ก็แพงขึ้น (ราคาส่ง) โลละ 40-45 บาท พ่อค้ารถเข็นบอกว่าตอนนี้ไม่เอามาขายแล้ว เพราะมันแพงเกิน คนกินก็ซื้อน้อยลงด้วย ส่วนราคาขายปลีกอยู่ที่ 60-70 บาท/กก.

นอกจากเราจะเจอภาวะ "ของน้อย-ราคาแพง" แล้ว ยังมาเจอปัญหาเรื่อง "คุณภาพ" เพราะผลไม้จะลูกเล็ก แคระแกร็นรสชาติไม่อร่อย และหาซื้อมารับประทานได้ยาก บางตลาดก็ไม่มีสินค้ามาจำหน่ายให้ผู้บริโภค

ทีนี้เรามาสังเคราะห์กันดูว่าสาเหตุคืออะไร อันดับแรกคือ ผลพวงจากปัญหาภัยแล้งสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้เกิดปัญหาด้านการผลิต (Supply) ผลไม้ตายและไม่ให้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนทุกปี และผลไม้บางชนิดราคาไม่ดี เกษตรกรก็ถอดใจเลิกปลูกหรือปลูกน้อยลง

ถัดมาก็เป็นผลมาจากความต้องการ (Demand) บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งจากคนไทยเอง และนักท่องเที่ยวที่ทะลักเข้ามาปีละ 29 ล้านคน ซึ่งจะทะลุถึง 30 ล้านคนในเร็ว ๆ นี้ รวมทั้งการส่งออกไปต่างประเทศเช่น ทุเรียน มังคุด กล้วยหอมทอง มะพร้าวน้ำหอม เป็นต้น

หากมองว่านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาก็ปล่อยไป แต่ก็มีคำถามว่า ในอนาคตคนไทยจะยังมีผลไม้บริโภคที่เพียงพอหรือไม่ อย่างไร หากราคาแพงแบบนี้ แต่รายได้ชาวบ้านไม่เพิ่มขึ้น ไม่มีกำลังซื้อแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปหาซื้อผลไม้แพง ๆ มากินได้ และของดี ๆ ก็ขายให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไปเกือบหมด แล้วคนไทยจะเหลืออะไร

ทุกวันนี้กระทรวงสาธารณสุขก็บอกให้ชาวบ้านกินผัก กินผลไม้กันเยอะ ๆ เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง สู้โรคภัยไข้เจ็บได้ และเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศ

จึงขอฝากโจทย์นี้ให้คนไทยไปขบคิดไว้ด้วย


ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,#อุปกรณ์แค้มปิง,#อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต

Tags : ผลไม้ (ไทย).... หายไปไหน ?

view